
กระและฝ้าปัญหาอมตะของผู้หญิง กระและฝ้าเรียกได้ว่าเป็นปัญหาอมตะของผู้หญิงเลยทีเดียว จากปัญหาสุขภาพของผู้หญิงทั้ง ที่เป็นอาการปกติทั่วไปหรือร้ายแรง ทำให้ผู้หญิงสมัยใหม่ตื่นตัวและหันมาสนใจดูแลร่างกายตนเองมากขึ้น ด้วยการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือต่างๆ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และในบรรดาเรื่องสุขภาพสุดฮิตที่ผู้หญิงให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณบนใบหน้า ยิ่งมีกระแสและค่านิยมผิวหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความกังวลใจแก่สาวๆ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหากระและฝ้า ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักษายากและมีปัญหาจากการรักษาที่ไม่ได้ผลมากมายตามหน้า หนังสือพิมพ์ ทางที่ดีเราจึงควรทำความรู้จักกับปัญหาทั้งสองอย่างให้ดีเสียก่อนที่จะ ตัดสินใจทำการรักษา สาเหตุและลักษณะของการเกิดฝ้าและกระ สำหรับฝ้า พบบ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบนและคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็นสามชนิด
สาเหตุของการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม สำหรับแสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตร้าไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น ในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีผลทำให้เกิดฝ้า โดยสังเกตพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร นอกจากนั้นการรับประทานยาบางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้นเช่น ยากันชักชนิด diphenylhydantoin เป็นต้น สำหรับการแพ้เครื่องสำอางอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอมหรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ วิธีการรักษากระและฝ้า อันดับแรกต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า กระและฝ้าส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้เพราะเราไม่ทราบสาเหตุต้นกำเนิดที่แท้จริง การ รักษามุ่งเน้นหลักสำคัญสองประการคือ หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่นๆ ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การเลือกครีมกันแดดจะต้องเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเรา ในกรณีที่มีปัญหากระหรือฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 15 ถึง 30 หรือสูงกว่าขึ้นไป อย่างไรก็ตามครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ บางชนิดอาจมีลักษณะข้นเหนียว ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่น่าใช้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และถ้าจำเป็นต้องตากแดด ควรทาครีมกันแดดวันละสองครั้งหรือมากกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าครีมกันแดดบนผิวหน้ายังมีปริมาณที่เพียงพอ ต่อการป้องกันแสงแดด มิได้จางหายไปกับเหงื่อที่มักจะถูกซับด้วยกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าอยู่เสมอ ในกรณีที่มีสภาพผิวหน้าแบบผิวมันเป็นสิวง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นสูตร Non-comedogenic หรือ สูตร water-based และควรอยู่ในรูปของเจลหรือโลชั่นจะเหมาะสมกว่าในรูปของครีม ส่วนการรักษาให้รอยคล้ำจากกระและฝ้าจางลงมีได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีที่ง่ายและสะดวกคือการรักษาด้วยการทายา ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือยาทาที่ใช้ในการรักษานั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม ใหญ่ ได้แก่
การรักษากระและฝ้าด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีอื่นๆ
ปริมาณมากกว่าปกติจะดูดซับพลังงานแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทำลายและมีจำนวนลดลง มีผลทำให้กระหรือฝ้านั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำการรักษาโดยผู้ที่ขาดความรู้ความชำนาญ และที่สำคัญกระและฝ้ายังจะกลับมา เป็นใหม่ได้อีกเมื่อหยุดการรักษา ทั้งนี้เพราะเลเซอร์และ IPL สามารถกำจัดเม็ดสีส่วนเกินในผิวหนังได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดเม็ดสีที่สะสมขึ้นมาใหม่ ดังนั้นภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ IPL ยังคงต้องทายาเพื่อลดจำนวนเม็ดสีร่วมกับการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ จากที่ได้รวบรวมมาทั้งหมดจะพบว่า การรักษาฝ้าและกระยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุของปัญหาอย่างชัดเจน การแก้ปัญหาส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนั้นการรักษาแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาจึงควรทำด้วยความระมัดระวัง...ทางที่ดี ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ต้องร่วมป้องกันปัจจัยที่จะกระตุ้นการเกิดกระและฝ้า การรักษาจึงจะได้ผลดี ที่มา: HealthToday
|